การอ่านคือความรู้ที่ยั่งยืน

ลักษณะคำประพันธ์ของวรรณคดีไทยสมัยสุโขทัย

๑.ลักษณะคำประพันธ์ในวรรณคดีมุขปาฐะ

                วรรณคดีมุขปาฐะเป็นวรรณคดีที่เสพด้วยการพัง แม้ในสมัยอยุธยาซึ่งมีวรรณคดีลายลักษณ์เป็นหลักฐานชัดเจนแล้วยังกล่าวถึงกิจกรรมการสร้าง-เสพวรรณคดี ที่เชื่อมโงกับประเพณีมุขปาฐะ เป็นต้นว่า
                                                สรวลเลียงขับอ่านอ้าง        ใดปาน
                                ฟังเสนาะใดปูน                                   เปรียบได้
                                เกลากลอนกล่าวกลการ                      กลกล่อม ใจนา
                                ถวายบำเรอท้าวไท้                               ธิราชผู้มีบุญฯ
                                                      (ลิลิตพระลอ)
                จารึกหลังที่ ๑ หรือที่เรียกว่า จารึกพ่อขุนรามคำแหง กล่าวว่า เมื่ออกพรรษา ผู้คนพากันออกไปทำบุญถึงอรัญญิก (วัดในเขตป่า) และว่า
                                                เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นเท้าหัวลาน
                                ดํบงคํกลองด้วยเสียงพาทย์เสียงพินเสียงเลื้อนเสียงขับ

                ข้อความนี้เป็นหลักฐานว่า ชุมชนที่พูดภาษาไทยได้มีขนบการสร้างศิลปะอันผสมผสานระหว่างวรรณศิลป์(เสียงเลื้อนเสียงขับ) และคีตศิลป์ (เสียงพาทย์เสียงพิน) มาช้านานแล้ว โดยน่าจะเป็นขนบเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย ดังนั้นมีบันทึกการขับลำตั้งแต่สมัยนครรัฐก่อนอาณาจักรโยนก ในลิลิตพระลอ ในข้อความเช่น           
ขับซอยอราชเที้ยร ทุกเมือง
                ลักษณะคำประพันธ์ของบทประพันธ์ใช้ขับลำกันในหมู่ชนผู้พูดภาษาไทยแต่ดั้งเดิม น่าจะได้แก่โคลงซึ่งจัดเป็นคำประพันธ์เก่าแก่ที่สุดอันสร้างขึ้นจากอัจฉริยลักษณ์ของภาษาไท ประคอง นิมมานเหมินท์ ได้กล่าวว่ารูปแบบดั่งเดิมของโคลงน่าจะเป็นโคลงสี่ดั้น มีลักษณะเน้นจังหวะและระดับเสียงวรรณยุกต์ ไม่สนใจสัมผัส มีจำนวนคำบาทละ ๗ คำ แต่ไม่เคร่งครัดนัก
                การขับลำ หรือขับซอ ยังปรากฏในสมัยอยุธยาตอนต้น ดังที่กำสรวลโคลงดั้น กล่าวถึงความชื่อบานของหนุ่มสาวชาวเมือง ว่า
                                                ยามพลบสยงกึกก้อง                           กาหล แม่ฮา
                                       สยงแฉ่งสยงสาวทรอ                                    ข่าวชู้
                การขับลำด้วยโคลงเป็นกิจกรรมในวิถีของชาวบ้าน ผู้ขับลำมักใช้วิธีด้น โดยไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือสารของเพลง มุ่งความบันเทิงใจเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่มีความสำคัญขนาดที่ต้องบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอันเป็นกิจกรรมซึ่งอยู่นอกเหนือวิถีชีวิตโดยปกติ การที่พระราชาทรงพระราชนิพนธ์เรื่องใดเป็นลายลักษณ์อักษรน่าจะเพราะมุ่งจะส่งสารที่มีความสำคัญต่อราษฎร ดังจะกล่าวต่อไป

๒.ลักษณะคำประพันธ์ในวรรณคดีลายลักษณ์

                การใช้ร้อยแก้วซึ่งมีสัมผัสคล้องจองและการซ้ำคำเพื่อความประสานของความหมายในกลุ่มประโยคความเดียว วรรณคดีสุโขทัยที่สำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับในสาระและความสวยงาม คือ จารึกหลักที่ ๑ และ เตภูมิกถาหรือเรียกในระยะหลังว่า ไตรภูมิพระร่วง จารึกหลังที่ ๑ นั้นมีเนื้อความชี้ชัดว่ามุ่งบันทึกพระราชกรณียกิจของพ่อขุนรามคำแหง เพื่อประกาศพระเกียรติคุณ ว่าเป็นเหตุสำคัญของความผาสุกของประชาชน และความรุ่งเรืองของรัฐ ส่วยไตรภูมิพระร่วง มุ่งปลูกฝังวิถีปฏิบัติตามบทบาทและสถานภาพของบุคคล เพื่อดำรงกลไกของสังคมบนพื้นฐานของความรู้ทั้งหลักจริยธรรม และหลักปรัชญาของพระพุทธศาสนา คือ กรรม และไตรลักษณ์ซึ่งแจกแจงเหตุผลของความเป็นไปของชีวิตอันหมุนเวียนไปในภพภูมิทั้งสามด้วยอำนาจจากภายในของชีวิตแต่ละชีวิต นับเป็นงานประพันธ์ที่มุ่งผลทางอุดมคติของชีวิต และอุดมคติของชีวิต และอุดมการณ์รัฐอันสอดคล้องกัน
                ความประสานของเสียงหรือที่เรียกว่า   สัมผัส  ระหว่างตำ กลุ่มคำ และประโยค จารึกหลักที่ ๑ น่าจะพัฒนาขึ้นจากใช้เสียงคล้องจองในสำนวนภาษาพูดโดยปกติ โดยเฉพาะเทื่ออธิบายหรือขยายความสิ่งที่เป็นนามธรรม ซึ่งมักไม่มีคำไทยใช้ จึงต้องกล่าวถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรมต่อเนื่องกันเป็นพวกหรือกลุ่ม  และอาศัยความประสานของเสียงคล้องจองและซ้ำคำบางคำเพื่อเชื่อมโยงข้อความเหล่านี้เข้าด้วยกัน ขณะที่ซ้ำคำบางคำ ก็อาจเปลี่ยนคำในกลุ่มต่อมาเป็นคำที่มีความหมายคล้ายกัน เกี่ยวข้องกัน หรือตรงกันข้าม เช่น
               
...ไพร่ฟ้าลูกเจ้าขุนผีแลผิดแผกแสกกว้างกัน สวนดูแท้แล้จึ่งแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ บ่ เข้าผู้ลัก มักผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านใคร่พีน  เห็นสีนท่านบ่ใครเดือด คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ บ่มีช้าง บ่มีม้า บ่มีปั่ว บ่มีนาง บ่มีเงิน บ่มีทอง ให้แก่มัน ช่วยมันตวงเป็นบ้าน เป็นเมือง ได้ข้า เลือกข้าเสือหัวพุ่งหัวรบก็ดีบ่ฆ่าบ่ตี

กลุ่มคำในข้อความข้างต้นนี้ อาจเปรียบกับภาษาสมัยใหม่ ซึ่งมักเป็นคำยืมจากภาษาอื่น ดังนี้                               ผิดแผกแสกว้างกัน                                                                    - ทะเลาะวิวาท, มีกรณีพิพาท                           
  บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน                                                                  - มีความยุติธรรม, ไม่อาธรรม์                      
เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พีนเห็นสีนท่านบ่ใคร่เดือด                           - ไม่โลภในสินบน                                           
ขี่ช้างมาหา     พาเมืองมาสู่                                                         - เข้ามาสวามิศักดิ์                                                
ช่วยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง                                                    - ให้ความอนุเคราะห์ในการสถาปนารัฐ
                                                                                                                  (ให้เป็นปึกแผ่น)

                ภาษาในจารึกหลักที่ ๑ ในรูปประโยคความเดียวขนาดสั้นหลายประโยคต่อเนื่องกัน โดยใช้คำเชื่อม คือ สันธาน และบุพบท น้อยกว่าภาษาสมัยปัจจุบันมาก รูปประโยคเช่นนี้ทำให้ต้องใช้ข้อความซ้ำกัน ในกลุ่มประโยคที่ต่อเนื่องกัน ตัวอย่างเช่น                
                ซ้ำในสองประโยคติดกัน       เช่น   - ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
                                                                          -  เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย
                ซ้ำเกินกว่าสองประโยคติดกัน เช่น  - ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้า ทอง ค้า                                                                          - บ่มีช้าง บ่มีม้า บ่มีปั่ว บ่มีนาง บ่มีเงิน บ่มีทอง           

                ไตรภูมิพระร่วง  แม้จะมีลักษณะภาษาแบบแผนมากกว่า แต่ยังคงลักษณะความประสานของเสียงและความหมายระหว่างกลุ่มคำ และประโยค มักใช้ประโยคที่มีส่วนซ้ำกัน เช่น ส่วยประธานและกริยา ต่อเนื่องกันหลายประโยค


                อนึ่งเขาบห่อนจะรู้เจรจามุสวาท และเขาบห่อนจะรู้เสพย์สุรายาเมา และเขารู้ย่ารู้เกรง ผู้เถ้าผู้แก่พ่อแลแม่ของเขา เขารู้รักพี่รักน้องของเขา เขาก็ใจอ่อนใจอด เขารู้เอ็นดูกรุณาแก่กัน เขาบห่อนจะรู้เสียดรู้ส่อรู้ท้อพ้อรู้ตัดกันแล เขาบห่อนจะรู้เฉลาะเบาะแว้งถุ้งเถียงกัน เขาบห่อนจะรู้ชิงช่วงหวงแหนแดนแล ที่บ้านรู้ร้าวของกันแล เขาบห่อนจะรู้ทำข่มเหงเอาเงินเอาทองของแก้วลูกแลเมียแลเข้าๆร่โคนาหัวป่า ค่าที่ห้วยและหานธานน้ำเชิงเรือนเรือกสวนเผือกมันหัวหลักหัวตอนหัวล้อหัวเกวียน เขามิเบียดเบียนเรือชาวนาวาโคมหิงษาเข้าไทย
                ข้อความทั้งหมดนี้แสดงความประพฤติปฏิบัติของคนไนทวีปอุตตรกุรุ ซึ่งตรงข้ามกับความประพฤติที่คนทั่วไปอาจกระทำอยู่ การใช้ประโยคปฏิเสธซ้ำๆ กันแทบทุกประโยค ช่วยย้ำความไม่พึงกระทำเหล่านั้นว่าไม่เกื้อกูลต่อชีวิต
                ลักษณะสำคัญของภาษาร้อยแก้วในงานประพันธ์สมัยสุโขทัย คือ การใช้ภาษาที่ใกล้เคียงกันกับภาษาพูดในชีวิตประจำวัน ผู้แต่งสามารถใช้อัจฉริยภาพของภาษาไทยที่มักใช้คำคล้องจองกันสร้างความประสานเสียงและความหมาย โดยใช้ประโยคความเดียวสั้นๆ หลายประโยคต่อเนื่องกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมีคำหรือข้อความซ้ำกันและมีความหมายระดับผิวเป็นรูปธรรมให้มีนัยเป็นนามธรรมได้โดยไม่ต้องใช้คำยืมจากภาษาอื่นซึ่งแปลกแยกจากความเข้าใจของประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น