"เหลาเส่อ" เป็นนามปากกา ซู่ชิ่งชุน เกิดที่กรุงปักกิ่งในครอบครัวชาวแมนจู
เริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม ก่อนจะมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ในช่วงหลังของชีวิต เหลาเส่อกลับจากสหรัฐมาอยู่บ้านเกิดตามคำเชิญของนายกฯ
โจวเอินไหล เหลาเส่อซื้อบ้านหลังหนึ่งตั้งชื่อว่า
"บ้านแห่งความอุดมสมบูรณ์" ต่อมาเขาและเพื่อนนักเขียนถูกกองทัพแดงจับตัวไปในข้อหาคิดปฏิวัติซ้อน
เหลาเส่อถูกทารุณและแห่ประจาน เขาเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 77 ปี โดยมีผู้พบศพในทะเลสาบไถผิง
โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นการฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย
วรรณกรรมเรื่อง "เดือนเสี้ยว"
ถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญของเหลาเส่อเรื่องหนึ่ง
ซึ่งเป็นนวนิยายขนาดกลางที่ดีที่สุดของเขา
อันได้สะท้อนถึงภาวะพิกลพิการและสกปรกโสโครกของสังคมเก่าที่เน่าเฟะ ใน "เดือนเสี้ยว"
เหลาเส่อได้ใช้สรรนามบุคคลที่หนึ่ง
พรรณนาถึงชีวิตของเด็กสาวที่แสนซื่อและบริสุทธิ์คนหนึ่ง พอย่างเข้าสู่วัยสาว
ก็หาทางดำรงชีวิตของตนต่อไปในสังคมยุคนั้นไม่ได้ และเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่
ก็จำต้องปล่อยชีวิตตัวเองให้ล่องลอยไปตามยถากรรมจนอนาคตถูกทำลายพินาศย่อยยับไป
จากในวรรณกรรม เนื้อเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสาธารณรัฐจีน
หลังจากล้มล้างราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านยุคสมัยจากยุคศักดินาสมัยราชวงศ์มาเป็นแบบทุนนิยม
ดังนั้นจึงเห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นซึ่งเป็นผลจากทุนนิยมที่เปลี่ยนผ่านของจีนจากฐานะของตัวละครซึ่งยากจนเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่พ่อได้เสียชีวิตไป แม่จำต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้กินอิ่ม
ตั้งแต่หาสามีใหม่ที่มีฐานะบ้าง ไปจนถึงเป็นโสเภณีเถื่อน
แต่งตัวพร้อมทัดดอกไม้ยืนอยู่หน้าบ้านรับคอยรับแขก เพื่อให้ได้เงินเล็กน้อยๆ
มาซื้อหาอาหารประทังชีวิต ผู้เขียนได้สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมในช่วงเวลานั้นออกมาในรูปแบบของตัวละครแต่ละตัวในวรรณกรรมได้เห็นภาพอย่างชัดเจน
การเอาชีวิตรอดของชนชั้นล่างในสมัยนั้น หากเป็นผู้ชายพอทำงานได้ก็ต้องขายแรงงาน
ส่วนผู้หญิงเนื่องจากสมัยก่อน ผู้หญิงจะต้องอยู่แต่ในบ้าน
มีหน้าที่ทำงานบ้านเพียงเท่านั้น พอเมื่อสังคมเปลี่ยน วิชาการ
หรือวิชาชีพที่ผู้หญิงจะนำไปใช้หาเงินก็ไม่มี
หนทางเดียวที่จะหารายได้ของผู้หญิงในสมัยนั้นคือการเป็นโสเภณีอย่างไม่มีทางเลือก
พอเมื่อแม่แก่ตัวลงไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ คราวนี้ลูกจึงต้องเป็นผู้เลี้ยงแม่บ้าง
จำใจต้องเดินทางสายเดียวกับแม่ตัวเองเพื่อให้ได้เงินมา
ทั้งๆที่ตนเองตั้งใจว่าอย่างไรก็จะไม่ขอเป็นโสเภณีแบบแม่ของตน
และด้วยความว่าเป็นโสเภณีเถื่อน ลำพังเงินที่หาได้ก็แทบไม่พอกิน
จึงไม่มีเงินมาเสียภาษีให้รัฐบาลเพื่อขายบริการอย่างถูกกฎหมาย ก็ต้องถูกจับ
โดยรวมวรรณกรรมเรื่องนี้อ่านแล้วให้อารมณ์เศร้า สงสาร
ผู้เขียนต้องการใช้ตัวละครดังกล่าวสะท้อนชีวิตชนชั้นล่างของสังคมสมัยนั้นให้ชนชั้นปกครองเห็น
เนื่องจากการขูดรีดภาษีจนชาวบ้านเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
การโกงกินกันของรัฐบาลโดยไม่สนปากท้องของประชาชน
จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีชัยในสงครามกลางเมือง ค.ศ.1949
ส่งผลให้ประเทศจีนเกิดการเปลี่ยนผ่านจากทุนนิยม ไปสู่สังคมนิยมเต็มรูปแบบ
เรื่อง
“เดือนเสี้ยว” แม้ไม่ได้เป็นวรรณกรรมที่เขียนแสดงออกชัดเจนถึงอุดมการณ์คอมมิวนิสต์
แต่ถือว่าเป็นตัวอย่างวรรณกรรมหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นจุดบกพร่องของทุนนิยม
ความเหลื่อมล้ำของสังคมสมัยนั้น
ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมาบรรยายเป็นภาพวิถีชีวิตที่ไม่มีทางเลือกของชนชั้นล่างได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ขออนุญาตสอบถามหน่อยครับ
ตอบลบอยากทราบที่มาของบทความนี้ครับว่ามาจากหนังสือเล่มใดหรือว่าวิจัยเล่มไหนครับ พอดีว่าผมกำลังสนใจเรื่องนี้แล้วนำไปทำวิทยานิพนธ์น่ะครับ กำลังหาข้อมูลอ้างอิง แล้วบทความนี้น่าสนใจเพื่อที่จะนำไปอ้างอิงอ่ะครับ